รูปปั้นพาชต์
 
 

ความสัมพันธ์ของแมวกับมนุษย์ในอดีต
แมวมีความสัมพันธ์กับมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว จากการค้นพบหลักฐานมัมมี่แมว รูปปั้นแมวสัมฤทธิ์ และรูปเขียนภาพแมวบนผนังที่มีอยู่มากมายในอียิปต์ นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังมีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพเจ้าจำแลงลงมาเกิด เทพเจ้านี้มีร่างเป็นสตรีเพศ แต่มีศีรษะเป็นแมว ชื่อพาชต์ (Pasht) เป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่าง และเป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทร์ด้วย โดยพบหลักฐานที่เมืองบูบาสติส (ปัจจุบันคือเมืองเตลบาสตา) เป็นรูปปั้นหินขนาดมหึมาของเทพเจ้าแมวประดิษฐานอยู่บนแท่น ในฤดูในไม้ผลิ ชาวอียิปต์จะทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าแมวด้วยเนื้อสัตว์ น้ำผึ้ง และผลไม้ มีสาวงามที่ประดับดอกไม้ที่ศีรษะ ออกมาร้องเพลงร่ายรำถวายเทพเจ้ากันอย่างสนุกสนาน

จากตำนานเทพนิยายของอียิปต์โบราณได้กล่าวถึงเทพเจ้าแมวไว้ว่า พาชต์ หรือจันทราเทพี ซึ่งคนโบราณเรียกกันว่าเมียว (ซึ่งคล้ายคลึงกับคำว่าแมวในภาษาไทย) เป็นมเหสีของรา (Ra) หรือสุริยเทพ ตอนกลางคืน ราต้องไปซ่อนตัวอยู่ในยมโลก โดยพาชต์จะเก็บแสงอาทิตย์ไว้ในดวงตา เพื่อช่วยส่องทางให้ราเดินทางไปได้โดยสะดวก ในการเดินทางแต่ละครั้ง ราต้องต่อสู้กับงูใหญ่ที่เข้ามาขวางทาง ราจะจำแลงร่างเป็นแมวในการต่อสู้กับงู ถ้าต่อสู้ชนะก็จะนำแสงสว่างมาสู่โลกได้ในวันรุ่งขึ้น ส่วนงูจะถูกทำร้ายถึงเลือดตกยางออก แต่พอวันรุ่งขึ้น บาดแผลของงูจะหายสนิท และกลับมาต่อสู้กับราอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่หากวันใดงูเกิดมีชัย จะไม่มีแสงสว่างในวันรุ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงการเกิดสุริยุปราคานั่นเอง ผู้คนจะช่วยกันส่งเสียงตะโกนให้งูตกใจและปล่อยรา แล้วแสงอาทิตย์ก็จะกลับมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง

ในอียิปต์โบราณมีกฎหมายห้ามนำแมวออกนอกประเทศ และหากใครพบแมวในต่างประเทศจะต้องนำกลับบ้านมาด้วย นอกจากนี้ ผู้ใดจะฆ่าหรือทำร้ายแมวไม่ได้เป็นอันขาด จะมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต เมื่อแมวตาย คนในครอบครัวจะต้องไว้ทุกข์ด้วยการโกนคิ้วและนำซากศพแมวไปทำมัมมี่เพื่อเก็บรักษาไว้ ในครอบครัวที่มั่งคั่งจะทำมัมมี่แมวโดยการห่อด้วยผ้าลินิน 2 สี และมัดทำลวดลายสวยงาม หีบใส่มัมมี่นั้นจะทำจากบรอนซ์ประดับเพชรพลอย ซึ่งจะนำไปฝังไว้ในสุสานใกล้กับโบสถ์ของพาชต์ ณ เมืองบูบาสติส

 
 

ในทุกๆฤดูใบไม้ผลิ จะมีผู้คนนับครึ่งล้านต่างมุ่งหน้าไปชุมนุมเพื่อร่วมพิธีบูชาแมว พิธีดังกล่าวในแต่ละครั้งจะมีมัมมี่แมวนับ 1000,000 ตัว ถูกฝังเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพธิดาแมวผู้เป็นสาวพรหมจารี (ถือกันว่านางเป็นบรรพบุรุษของ Virgin Mary อีกด้วย) พิธี Bastet นี้ เป็นพิธีที่เป็นที่รู้จัก และมัคนเข้าร่วมมากที่สุดในยุคอียิปต์โบราณ พิธีดังกล่าวเป็นที่นิยมอยู่ราวๆ 2,000 ปี จนกระทั่งถูกห้ามอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 390 ซึ่งเป็นช่วงที่พิธีได้เสื่อมความนิยมไปมากแล้ว ทั้งนี้ในขณะที่พิธียังคงได้รับความนิยม จะแสดงให้เห็นได้ถึงเกียรติภูมิที่มนุษย์มีให้กับแมวในสมัยอารยธรรมโบราณได้มากเลยทีเดียว

มีความเชื่อว่าแมวมีส่วนสำคัญในการทำให้อาณาจักรอียิปต์โบราณมีความเจริญและแผ่อำนาจออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาล เพราะแมวช่วยควบคุมหนูซึ่งเป็นศัตรูทำลายพืชผลทางการเกษตรและเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรค ซึ่งเป็นโรคระบาดที่สำคัญในสมัยนั้น เมื่อชาวอียิปต์โบราณมีแมว ซึ่งช่วยควบคุมหนูได้แล้ว จึงทำให้ทีอาหารอุดมสมบูรณ์ และมีพลเมืองมากพอ เพราะไม่ตายด้วยกาฬโรคเหมือนประเทศอื่น จึงทำให้สามารถแผ่ขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาลได้เป็นเวลาหลายพันปี

ต่อมาชาวกรีกได้พยายามที่จะนำแมวออกจากอียิปต์ โดยครั้งแรกนำออกไปได้ 6 คู่ หลังจากนั้นได้ขยายพันธุ์และขายต่อไปยังกลุ่มชาวโรมัน ฝรั่งเศส ตลอดจนอังกฤษ ทำให้กลุ่มประเทศดังกล่าวสามารถแผ่ขยายอำนาจออกไปได้ในเวลาต่อมา

ถึงแม้ว่าแมวจะมีอยู่ในอียิปต์จำนวนมาก แต่อียิปต์ก็ไม่ใช่ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของแมว มีความเชื่อว่า ไม่น้อยกว่า 5,000 ปีมาแล้ว ดินแดนประเทศซูดานในปัจจุบัน มีรัฐนูเบียซึ่งเป็นรัฐที่มั่งคั่ง ทำให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์ได้รุกรานรัฐนี้เป็นครั้งคราว และได้นำแมว รวมทั้งโค กระบือ ไม้มีค่า ทองคำ และงาช้างเข้ามาในประเทศอียิปต์ นักสัตววิทยาได้ตั้งชื่อแมวชนิดนี้ว่าแมวนูเบีย ซึ่งมีลักษณะขายาวมาก ขนสั้น และศีรษะเล็ก ต่อมาได้ขยายพันธุ์และพัฒนาไปเป็นแมวพันธุ์ต่างๆ

สิ่งที่ตรงกันข้ามกับการเคารพบูชาแมวของคนในสมัยโบราณคือ การทำลายล้างสุสานแมวโดยชาวอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มีมัมมี่แมวถึง 300,000 ตัวถูกขนไปยังเมืองลิเวอร์พูลเพื่อเป็นปุ๋ยให้กับชาวนา สิ่งเดียวที่เหลือรอดจากการทำลายในครั้งนั้น มีแต่กระโหลกแมวเพียงชิ้นเดียวที่ยังเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษ

จากปัญหาการแพร่ระบาดของหนูทั่วทวีปยุโรปมีผลทำให้แมวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำจัดหนูเหล่านี้ และยังส่งผลให้มีบทลงโทษต่อผู้ที่ฆ่าแมวอีกด้วย แม้จะไม่รุนแรงเท่าสมัยอียิปต์โบราณก็ตาม แต่ก็ถือเป็นโทษที่รุนแรงพอควร เช่นการยึดแกะ และจะเห็นได้จากกฎหมายที่บัญญัติโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งเวลส์ในยุคศตวรรษที่ 10 ที่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับแมว กล่าวคือ ซากแมวที่ถูกฆ่าจะถูกนำมาแขวนโดยผูกที่หางและปล่อยให้จมูกแตะลงกับพื้น และโทษปรับต่อผู้ที่ฆ่าแมวตัวนั้นคือ การยึดเมล็ดธัญพืชที่กองสูงขึ้น จนสามารถปิดซากของแมวตัวนั้นได้จนมิด ซึ่งหมายถึงเป็นจำนวนแทนผลผลิตที่แมวตัวนั้นสามารถปกป้องไว้ได้จากหนูนั่นเอง

แต่ในยุคกลาง ประชากรแมวในยุโรปกลับต้องพบกับความทุกข์ทรมานและความตาย เมื่อแมวได้ถูกนำไปโยงกับพิธีกรรมของคนนอกรีต ดังนั้นพวกมันจึงถูกตราหน้าว่าเป็นสัตว์ที่ชั่วร้าย เป็นตัวแทนของซาตานและพ่อมดหมอผี ในเทศกาลของชาวคริสต์จะมีแมวจำนวนมากถูกตรึงกางเขน ถลกหนัง ทุบตี เผา หรือถูกจับโยนลงมาจากหอคอยของโบสถ์ เพื่อเป็นการชำระบาปตามความเชื่อว่าแมวคือศัตรูของศาสนา

แต่ยังถือว่าโชคดีที่พฤติกรรมอันโหดร้ายเช่นนั้นไม่มีให้พบเห็นอีกแล้วในปัจจุบัน และแมวได้กลับมาเป็นสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และยังคงจะเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ไปอีกตราบนานเท่านาน

 
       
   
       
   
   
Home | Breeds | TakeCare | About Cat | Gallery | Links
©2003 Contact Webmaster