|
ในทุกๆฤดูใบไม้ผลิ
จะมีผู้คนนับครึ่งล้านต่างมุ่งหน้าไปชุมนุมเพื่อร่วมพิธีบูชาแมว
พิธีดังกล่าวในแต่ละครั้งจะมีมัมมี่แมวนับ 1000,000 ตัว ถูกฝังเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพธิดาแมวผู้เป็นสาวพรหมจารี
(ถือกันว่านางเป็นบรรพบุรุษของ Virgin Mary อีกด้วย) พิธี Bastet
นี้ เป็นพิธีที่เป็นที่รู้จัก และมัคนเข้าร่วมมากที่สุดในยุคอียิปต์โบราณ
พิธีดังกล่าวเป็นที่นิยมอยู่ราวๆ 2,000 ปี จนกระทั่งถูกห้ามอย่างเป็นทางการในปี
ค.ศ. 390 ซึ่งเป็นช่วงที่พิธีได้เสื่อมความนิยมไปมากแล้ว ทั้งนี้ในขณะที่พิธียังคงได้รับความนิยม
จะแสดงให้เห็นได้ถึงเกียรติภูมิที่มนุษย์มีให้กับแมวในสมัยอารยธรรมโบราณได้มากเลยทีเดียว
มีความเชื่อว่าแมวมีส่วนสำคัญในการทำให้อาณาจักรอียิปต์โบราณมีความเจริญและแผ่อำนาจออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาล
เพราะแมวช่วยควบคุมหนูซึ่งเป็นศัตรูทำลายพืชผลทางการเกษตรและเป็นตัวการแพร่เชื้อกาฬโรค
ซึ่งเป็นโรคระบาดที่สำคัญในสมัยนั้น เมื่อชาวอียิปต์โบราณมีแมว
ซึ่งช่วยควบคุมหนูได้แล้ว จึงทำให้ทีอาหารอุดมสมบูรณ์ และมีพลเมืองมากพอ
เพราะไม่ตายด้วยกาฬโรคเหมือนประเทศอื่น จึงทำให้สามารถแผ่ขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาลได้เป็นเวลาหลายพันปี
ต่อมาชาวกรีกได้พยายามที่จะนำแมวออกจากอียิปต์ โดยครั้งแรกนำออกไปได้
6 คู่ หลังจากนั้นได้ขยายพันธุ์และขายต่อไปยังกลุ่มชาวโรมัน
ฝรั่งเศส ตลอดจนอังกฤษ ทำให้กลุ่มประเทศดังกล่าวสามารถแผ่ขยายอำนาจออกไปได้ในเวลาต่อมา
ถึงแม้ว่าแมวจะมีอยู่ในอียิปต์จำนวนมาก แต่อียิปต์ก็ไม่ใช่ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของแมว
มีความเชื่อว่า ไม่น้อยกว่า 5,000 ปีมาแล้ว ดินแดนประเทศซูดานในปัจจุบัน
มีรัฐนูเบียซึ่งเป็นรัฐที่มั่งคั่ง ทำให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์ได้รุกรานรัฐนี้เป็นครั้งคราว
และได้นำแมว รวมทั้งโค กระบือ ไม้มีค่า ทองคำ และงาช้างเข้ามาในประเทศอียิปต์
นักสัตววิทยาได้ตั้งชื่อแมวชนิดนี้ว่าแมวนูเบีย ซึ่งมีลักษณะขายาวมาก
ขนสั้น และศีรษะเล็ก ต่อมาได้ขยายพันธุ์และพัฒนาไปเป็นแมวพันธุ์ต่างๆ
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับการเคารพบูชาแมวของคนในสมัยโบราณคือ การทำลายล้างสุสานแมวโดยชาวอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
มีมัมมี่แมวถึง 300,000 ตัวถูกขนไปยังเมืองลิเวอร์พูลเพื่อเป็นปุ๋ยให้กับชาวนา
สิ่งเดียวที่เหลือรอดจากการทำลายในครั้งนั้น มีแต่กระโหลกแมวเพียงชิ้นเดียวที่ยังเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษ
จากปัญหาการแพร่ระบาดของหนูทั่วทวีปยุโรปมีผลทำให้แมวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำจัดหนูเหล่านี้
และยังส่งผลให้มีบทลงโทษต่อผู้ที่ฆ่าแมวอีกด้วย แม้จะไม่รุนแรงเท่าสมัยอียิปต์โบราณก็ตาม
แต่ก็ถือเป็นโทษที่รุนแรงพอควร เช่นการยึดแกะ และจะเห็นได้จากกฎหมายที่บัญญัติโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งเวลส์ในยุคศตวรรษที่
10 ที่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับแมว กล่าวคือ ซากแมวที่ถูกฆ่าจะถูกนำมาแขวนโดยผูกที่หางและปล่อยให้จมูกแตะลงกับพื้น
และโทษปรับต่อผู้ที่ฆ่าแมวตัวนั้นคือ การยึดเมล็ดธัญพืชที่กองสูงขึ้น
จนสามารถปิดซากของแมวตัวนั้นได้จนมิด ซึ่งหมายถึงเป็นจำนวนแทนผลผลิตที่แมวตัวนั้นสามารถปกป้องไว้ได้จากหนูนั่นเอง
แต่ในยุคกลาง ประชากรแมวในยุโรปกลับต้องพบกับความทุกข์ทรมานและความตาย
เมื่อแมวได้ถูกนำไปโยงกับพิธีกรรมของคนนอกรีต ดังนั้นพวกมันจึงถูกตราหน้าว่าเป็นสัตว์ที่ชั่วร้าย
เป็นตัวแทนของซาตานและพ่อมดหมอผี ในเทศกาลของชาวคริสต์จะมีแมวจำนวนมากถูกตรึงกางเขน
ถลกหนัง ทุบตี เผา หรือถูกจับโยนลงมาจากหอคอยของโบสถ์ เพื่อเป็นการชำระบาปตามความเชื่อว่าแมวคือศัตรูของศาสนา
แต่ยังถือว่าโชคดีที่พฤติกรรมอันโหดร้ายเช่นนั้นไม่มีให้พบเห็นอีกแล้วในปัจจุบัน
และแมวได้กลับมาเป็นสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
และยังคงจะเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ไปอีกตราบนานเท่านาน
|
|